วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556


เทพปกรณัมนอร์ส 
 
เทพปกรณัมนอร์ส ( Norse mythology) เป็นตำนานตามความเชื่อของชาวนอร์สหรือสแกนดิเนเวีย มีตำนานการเกิดโลกเช่นเดียวกับชนเผ่าอื่นๆ แต่อาศัยที่พวกเขาอยู่ในภูมิประเทศซึ่งเป็นน้ำแข็งตลอดเวลา เรื่องของเทพจึงเกี่ยวพันกับน้ำแข็งค่อนข้างมาก และที่แตกต่างกว่าเทพในความเชื่ออื่น ๆ ก็ตรงที่ เทพชาวนอร์สเป็นเผ่าพันธ์ครึ่งยักษ์ครึ่งเทพ มีความตายเป็นที่สุด เทพปกรณัมชาวนอร์สนี้ ยังเป็นแรงบรรดาลใจที่ทำให้ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขียนเรื่องของเขาด้วย
สำหรับชาวนอร์ส วิธีที่จะตายอย่างมีเกียรติ คือตายในที่สนามรบขณะยังมีวัยหนุ่ม เพราะเหตุที่เชื่อว่าจะทำให้ได้รับคัดเลือกไปอยู่ใน วัลฮัลลา(Valhala) สวรรค์แห่งนักรบ ซึ่งวิญญาณของพวกเขาจะได้ต่อตีกันอย่างสนุกสนาน(ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกไปเที่ยวฝึกการต่อสู้ ฝึกดาบ หากพลาดพลั้งตาย ก็จะฟื้นขึ้นใหม่ตอนเย็น ได้เวลากินพอดี) และรับการเลี้ยงชนิดไม่มีหมดไม่มีอั้น จนกว่าจะถึงเวลาแร็กนาร็อก เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (รวมทั้งพวกเทพด้วย) ฉะนั้นการตายแบบแก่ชรา โรคภัยไข้เจ็บถามหา นับเป็นเรื่องน่าอับอาย
ด้วยความที่ศาสนาบอกไว้ว่า ไม่มีอะไรคงทนถาวรกระทั่งเทพเจ้า ชาวนอร์สโบราณจึงคิดเสมอ การต่อสู้รบราด้วยความรุนแรงจนกระทั่งตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความชั่วร้ายทั้งหลาย เพราะในช่วงเริ่มแรกของอารยธรรม พวกเขาต้องอยู่ในแผ่นดินที่มีแต่ความเย็นเฉียบ ไม่มีความสบาย แสงอาทิตย์จะปรากฏให้เห็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆในปีหนึ่ง
ชาวนอร์สเปรียบเทียบความมืด และความสว่าง กับความชั่ว และความดี สรรพสิ่งต่างๆที่อยู่ในธรรมชาติของเงามืด และธรรมชาติของความสว่างจึงเป็นของกันและกัน

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

รถไฟวิ่งลอดใต้ทะเล

   เทคโนโลยีรถไฟในต่างบ้านต่างเมืองค่อนข้างพัฒนาไปไกลและมีอะไรน่าทึ่งเสนอ ก่อนหน้านี้พี่มิ้นท์เคยเขียนบทความเกี่ยวกับความเร็วของ "รถไฟความเร็วสูง" ไปแล้ว บอกได้เลยว่าความเร็วของมันน่าอัศจรรย์จริงๆ โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกของญี่ปุ่นวิ่งได้ถึง 580 กม./ชั่วโมง ถ้านึกไม่ออกว่าเร็วขนาดไหน ลองนึกสภาพว่าน้องๆ อยู่ลำปางแต่ใช้เวลามากรุงเทพฯ แค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น!! (นี่มันรถไฟเหาะชัดๆ เลยนะคะ) ส่วนเรื่องที่พี่มิ้นท์นำมาฝากวันนี้รับรองว่าน่าทึ่งไม่แพ้กันค่ะ
รู้มั้ยคะว่า เส้นทางรถไฟนอกจากจะอยู่บนดิน ใต้ดินหรือลอยฟ้าแล้ว เส้นทางรถไฟยังอยู่ใต้ทะเลได้ด้วยค่ะ แต่ใครที่กำลังฝันว่ารถไฟที่วิ่งใต้ทะเลจะได้เห็นหมู่ปลาแหวกว่ายไปมาคงไม่มีให้เห็นนะคะ เพราะวิศวกรจะขุดเจาะอุโมงค์จากพื้นดินใต้ท้องทะเล รถไฟจึงวิ่งอยู่ในอุโมงค์ทึบๆ เหมือนรถไฟใต้ดินนั่นเอง โดยวันนี้จะพูดถึง 2 อุโมงค์ที่ได้ชื่อว่าเป็นอุโมงค์ใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลก

  ที่แรกคือ อุโมงค์เซกัง (Seikan Tunnel) เป็นอุโมงค์ลอดใต้ทะเลที่ยาวที่สุดและอยู่ลึกที่สุดในโลก โดยยาวถึง 53.85 กิโลเมตร (ส่วนที่อยู่ทะเลยาว 23.3 กิโลเมตร) และอยู่ลึกจากพื้นดินใต้ท้องทะเลลงไปกว่า 140 เมตรค่ะ ฟังจากชื่อก็รู้ได้ทันทีว่าอยู่ประเทศไหน          อุโมงค์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะฮอกไกโด ในประเทศญี่ปุ่น แต่เดิมนั้นสองเกาะนี้เดินทางไปมาหาสู่กันด้วยเรือเฟอร์รี่ แต่การเดินทางด้วยวิธีนี้มีอุปสรรคเยอะค่ะ เพราะเจอพายุเป็นประจำ รัฐบาลญี่ปุ่นมีการสำรวจความเป็นไปได้ในการสร้างอุโมงค์เมื่อปี 2489 แต่หลังจากนั้นรัฐบาลได้เร่งเดินหน้าสร้างอุโมงค์แห่งนี้ เพราะในระยะเวลาไม่กี่ปีมีผู้โดยสารใช้บริการเรือเฟอร์รี่ข้ามไปมาระหว่างสองเกาะนี้เพิ่มมากขึ้นกว่า 4 ล้านคนและปริมาณการขนส่งก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงในปี 2531 รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้เปิดใช้งานอุโมงค์ Seikan อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดให้บริการแล้วมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องเลยค่ะ โดยเฉพาะเส้นทางจากโตเกียวไปเมืองซัปโปโร เกาะฮอกไกโด ที่เรียกได้ว่ามีคนจองเต็มทุกเที่ยวเสมอ แม้ว่าจะแพงกว่าและใช้เวลามากกว่าการนั่งเครื่องบินด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่า...ไปญี่ปุ่นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องรถไฟทั้งที และยังเป็นรถไฟขบวนที่วิ่งลอดอุโมงค์ใต้ทะเลด้วย ใครๆ ก็อยากสัมผัสบรรยากาศดูสักครั้ง  สุดยอดการเดินทางข้ามเกาะ!! ด้วยรถไฟวิ่งลอดใต้ทะเล  สำหรับอุโมงค์ลอดใต้ทะเลอีกแห่งหนึ่งขอข้ามทวีปไปดูอุโมงค์ The Channel Tunnel ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสหราชอาณาจักรกับเมืองกาเลส์ ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส โดยสร้างลอดใต้ช่องแคบอังกฤษบริเวณช่องแคบโดเวอร์  มีความยาวทั้งสิ้น 50.5 กิโลเมตร(มีส่วนที่ใต้ทะเล 37.9 กิโลเมตร) ปัจจุบันอุโมงค์แห่งนี้ใช้เป็นเส้นทางหลักในการเดินทางของชาวยุโรปและชาวอังกฤษ และยังได้ชื่อว่าเป็นอุโมงค์ที่ยาวเป็นอันดับ 2 รองจากอุโมงค์ Seikan ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ 

 
 สุดยอดการเดินทางข้ามเกาะ!! ด้วยรถไฟวิ่งลอดใต้ทะเล
  มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนสงสัยเหมือนกันว่ามนุษย์เรามีวิธีการขุดเจาะใต้ดินให้เป็นอุโมงค์ได้ยังไง ต้องลงไปขุดๆ เหมือนในการ์ตูนหรือเปล่า?? นั่นสิ พี่มิ้นท์เจออุโมงค์พวกนี้เข้าไปแอบสงสัยเหมือนกันค่ะ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องความความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้เรื่องที่ดูยาก สามารถทำได้จริงและมีประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้  ปัจจุบันการสร้างอุโมงค์หลายๆ แห่ง แม้กระทั่งอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินของไทยใช้เทคโนโลยีการขุดเจาะอุโมงค์แบบใหม่ ซึ่งใช้หัวขุดเจาะแบบแรงดันสมดุลหรือ Earth Pressure Balance (EPB) วิธีการทำงานก็คือ จะใช้หัวเจาะหมุนตักดินในพื้นที่ที่เราต้องการ ดินพวกนั้นก็จะไหลเข้าสู่ช่องเก็บดินด้านหลังแล้วถูกลำเลียงออกไปจากอุโมงค์ค่ะ ซึ่งการขุดเจาะด้วยวิธีนี้ตอบโจทย์กับการขุดเจาะในบริเวณที่มีสภาพดินอ่อนและอยู่ในเขตเมืองได้ดีมาก เพราะเราสามารถขุดเจาะอุโมงค์โดยไม่ต้องเปิดหน้าดินหรือปิดการใช้งานหน้าดินเหนือเขตก่อสร้างเลย และที่สำคัญการขุดเจาะด้วยวิธีนี้ยังทำให้การขุดเจาะอุโมงค์ง่ายขึ้นแถมช่วยเซฟเวลาก่อสร้างได้มากทีเดียว โดยใน 1 วันสามารถทำได้ถึง 20 เมตร แต่ถ้าเป็นหัวเจาะรุ่นเก่าๆ ได้แค่วันละ 7 เมตรเท่านั้นเอง 

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ประเทศลอยน้ำแห่งแรกของโลก นิว คิริบาส

  สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คิริบาส หรือ คิริบาติ เตรียมประกาศสร้างประเทศใหม่ สาเหตุเนื่องจากประเทศคิริบาสนั้นตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเสี่ยงที่จะจมน้ำหายไปตามผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ประเทศคิริบาสจึงได้เตรียมประกาศการสร้าง นิว คิริบาสเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โดย นิว คิริบาส นั้น จะเป็นการแก้ไขปัญหาการจมน้ำอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศลอยน้ำแห่งแรกในโลก โดยรัฐบาลคิริบาติได้ว่าจ้าง บริษัทชิมิสึ ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมของญี่ปุ่นออกแบบโครงการดังกล่าวให้เป็นเหมือนรูปดอกบัว เชื่อมต่อกันเป็นกลุ่ม มีหอคอยหลักเป็นจุดศูนย์กลาง ทั้งนี้มีการประเมินค่าใช้จ่ายว่าโครงการดังกล่าวต้องใช้เงิน มากกว่า 317,000 ล้านปอนด์ หรือกว่า 15 ล้านล้านบาท มากกว่า GDP ของคิริบาติทั้งประเทศถึง 3,000 เท่า ทั้งนี้คิริบาติมีประชากรในประเทศทั้งหมดเพียง 100,000 คน

ข้อมูล ประเทศ คิริบาส
ประเทศคิริบาส หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐคิริบาส (อังกฤษ: Republic of Kiribati; กิลเบิร์ต: Ribaberiki Kiribati) เป็นชาติเกาะที่ตั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนตอนกลาง หมู่เกาะปะการัง 33 แห่งของประเทศกระจายทั่วพื้นที่ 3,500,000 ตารางกิโลเมตรใกล้เส้นศูนย์สูตร  ชื่อประเทศที่เขียนในภาษาอังกฤษคือ "Kiribati" ซึ่งมาจากการทับศัพท์คำว่า "Gilberts" ของคนในท้องถิ่น เนื่องจากว่าชื่อเดิมในภาษาอังกฤษของหมู่เกาะหลักคือ "หมู่เกาะกิลเบิร์ต" (Gilbert Islands)  ประธานาธิบดีอาโนเต ตองมาจากพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย แต่สามารถทำงานร่วมกับพรรคการเมืองเสียงข้างมากได้ ปัญหาที่สำคัญในขณะนี้คือชาวเกาะบานาบาพยายามแยกตัวเป็นรัฐภายใต้การคุ้มครองของประเทศฟิจิ

 เศรษฐกิจของประเทศคิริบาส  คิริบาสถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก มีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิริบาสเคยมีรายได้มหาศาลจากการส่งออกฟอสเฟตจากเกาะบานาบา ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 80 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเป็นร้อยละ 50 ของงบประมาณรัฐบาล อย่างไรก็ตามฟอสเฟตได้หมดลงในปี พ.ศ. 2522 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ประชาชาติต่อหัวลดลงกว่าครึ่งหนึ่งระหว่างปี 2522-2524
 ปัจจุบัน เศรษฐกิจของคิริบาสขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยจาก The Revenue Equalization Reserve Fund ซึ่งเป็นเงินที่คิริบาสสะสมจากการส่งออกฟอสเฟต มีมูลค่าประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และรัฐบาลบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้คิริบาสยังมีรายได้จากการให้สัมปะทานประมง และจากแรงงานคิริบาสนอกประเทศ รวมทั้งความช่วยเหลือจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยว ด้วยลักษณะภูมิประเทศและข้อจำกัดในการเพาะปลูก ทำให้คิริบาสต้องนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแทบทุกชนิด  ประชากรร้อยละ 98 เป็นชาวไมโครนีเซียและนับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ 53 และคริสต์นิกายคิริบาสโปรแตนแตนต์ร้อยละ 39 ประชากรไทย 1 คน

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

กลุ่มดาวสิงโต ( LEO )

     กลุ่มดาวสิงโต ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 9 ดวง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวราศีสิงห์ระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม ถึง 17 กันยายน เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตได้ง่ายบนฟ้า เพราะมีดาวฤกษ์ดวงใหญ่สีน้ำเงินขาวสว่างที่สุดในกลุ่มดาวนี้ 1 ดวง อยู่ตรงบริเวณหน้าอกของสิงโต เรียกว่าดาวเรกิวลุส ( REGULUS ) หรือ ดาวหัวใจสิงห์ มีความสว่างถึง 1.35 และ ตรงปลายหางของสิงโตจะมีดาวฤกษ์สว่างสีขาวอีก 1 ดวง เรียกว่า ดาวหางสิงห์ มีความสว่าง 2.14 ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 นั้น ดวงจันทร์จะปรากฏเต็มดวงบริเวณหัวของสิงโต ที่เรียกว่า มาฆฤกษ์
      กลุ่มดาวสิงโต เป็นกลุ่มดาวอันดับที่ห้าของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถีที่สังเกต และจดจำได้ง่ายโดยรูปสิงโตของกลุ่มดาวสิงโต จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวในส่วนหัวของสิงโตจะเรียงกันเป็นรูปเครื่องหมายคำถามกลับด้าน (Reversed Question Mark) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวเรกูลัส ซึ่งจะอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของสิงโต จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวหัวใจสิงห์ มีดาวที่สำคัญดังนี้ Regulus or Cor Leonic ดาวหัวใจสิงห์ (ดาวเรกูลัสเป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาวที่อยู่บนแนวสุริยวิถี มีความสว่างประมาณ 1.35 เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับ 21 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปีแสง ชื่อดาว Regulus หมายถึง หัวใจสิงห์ เป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งสี่ (The Four Royal Stars) ซึ่งประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์ ดาวตาวัว ดาวปาริชาต และดาวโฟมาออท ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวงท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ห่างพอๆกันประมาณครึ่งท้องฟ้า (90 องศาทำให้เรามองเห็นดาวราชาอย่างน้อย 1 คู่เสมอ นอกจากนี้ดาวหัวใจสิงห์เป็นดาวคู่โดยโคจรรอบดาวฤกษ์อีกดวงซึ่งกันและกันพอมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา Denebola ดาวเดเนบโบลา มีความสว่างประมาณ 2.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึงหางสิงโต (The lion's tail) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหางสิงโตพอดีโดยดาว Denebola เป็นดาวคู่เช่นกันแต่ไม่สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็ก  Algieba  ดาวอัลจีบา เป็นดาวคู่ มีความสว่างประมาณ 2.2 และ 3.47 สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็กอยู่ห่างจากโลกประมาณ 126 ปีแสงโคจรรอบซึ่งกันและกันโดยใช้เวลาประมาณ 620 ปีต่อรอบ ชื่อดาวหมายถึง หน้าผาก (The Forehead) แต่จริงๆแล้วอยู่ในตำแหน่งคอของสิงโต นอกจากนี้เราสามารถเห็นฝนดาวตกสิงโต (Leonid Meteor Shower) ได้ตรงตำแหน่งประมาณ 2 องศาไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของดาวดวงนี้โดยจะเห็นมากสุดทุก 33 ปีโดยครั้งล่าสุดเมื่อปี พ..2542 (..1999) Adhafera ดาวแอดฮาเฟอรา เป็นดาวคู่เช่นกันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 260 ปีแสงโดยที่อีกดวงมีความสว่างประมาณ 6 พอมองเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องสองตา M95  M96 M105 - The Galaxy M95 และ M96 เป็นกาแลกซีแบบกังหัน(Spiral Galaxy) ส่วน M105 เป็นกาแลกซีแบบทรงกลม (Elliptical Galaxy) กล้องสองตา อยู่ห่างจากดาวหัวใจสิงห์ ไปทางตะวันออก ประมาณ 9 องศาอยู่ห่างจากโลกประมาณ 30 ล้านปีแสง จากกาแลกซีทางช้างเผือกมีความสว่างประมาณ 9.7, 9.2 และ 9.3 ตามลำดับ
       นิทานดาวสิงโต เป็นราชาหรือเจ้าแห่งสัตว์ป่าของโลก ออกล่าเหยื่อรบกวนชาวบ้าน จึงถูกฆ่าโดยเฮอร์คิวลิส (Hercules) แต่เนื่องจากสิงโตตัวนี้ มีหนังหนาและเหนียว ฟันแทงไม่เข้า จึงถูกเฮอร์คิวลิสฆ่า โดยล็อคคอด้วยมือเปล่า (Headlock) จากนั้นเฮอร์คิวลิสก็ถลกหนัง โดยใช้เล็บของสิงโตเอง จากนั้น ก็เอาหนังมาทำเครื่องแต่งกาย และเกราะ ทำให้เฮอร์คิวลิสดูน่าเกรงขาม จากนั้น Selene เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ได้นำสิงโตขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวจักราศี โดยที่สิงโตจะวิ่งหนีเฮอร์คิวลิสตลอดเวลา โดยสิงโตอยู่สูงสุดบนท้องฟ้า ในขณะที่เฮอร์คิวลิสกำลังขึ้น และตกในขณะที่เฮอร์คิวลิส อยู่สูงสุดบนท้องฟ้าเสมอ

นมเปรี้ยว

    
นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต (อังกฤษ: yoghurt  (ภาษาอังกฤษใช้คำนี้เรียกรวม ๆ ทั้งนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต)) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยวโดยมีความเป็นกรด-เบสอยู่ระหว่าง 3.8-4.6 นมเปรี้ยว มี 2 ชนิด คือ ชนิดแรกเป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต
     นักประวัติศาสตร์มีความเห็นว่า โยเกิร์ตเป็นอาหารที่รวมอยู่ในโภชนาการของชนเผ่าทราเซียน อันเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของชาวบัลแกเรีย ชาวทราเซียนเก่งในการเลี้ยงแกะ คำว่า yog ในภาษาทราเซียน แปลว่า หนาหรือข้น ส่วน urt  แปลว่า น้ำนม คำ yoghurt น่าจะได้มาจากการสมาสของคำทั้งสองข้างต้น ในยุคโบราณราวศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ก่อนคริสตกาล ชาวทราเซียนมีวิธีการเก็บรักษาน้ำนมไว้ในถุง ที่ทำจากหนังแกะ เวลาไปไหนต่อไหนก็เอาถุงนี้คาดเอวไว้ ความอบอุ่นจากร่างกายร่วมกับจุลชีพที่มีอยู่ในหนังแกะ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักขึ้น น้ำนมในถุงก็กลายสภาพเป็นโยเกิร์ตไป  นักวิทยาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า สิ่งที่มีมาก่อนโยเกิร์ตน่าจะเป็นน้ำนมหมักที่ใช้ดื่ม เรียกว่า คูมิส (Kumis)  น้ำนมชนิดนี้ทำมาจากน้ำนมม้า โดยชนเผ่าที่มาอยู่ก่อนหน้าชาวบัลแกเรีย เช่น ชนเผ่าที่เร่ร่อนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากทวีปเอเชียมายังคาบสมุทรมัลข่าน ในปี ค.ศ.681
ในยุโรปตะวันตก โยเกิร์ตปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 ในราชสำนักของกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ครั้งนั้นกษัตริย์พระองค์นี้ประชวร มีพระอาการปั่นป่วนในท้อง แพทย์ชาวตุรกีผู้หนึ่งจึงทำการรักษาโดยให้เสวยโยเกิร์ตที่นำมาจากบัลแกเรีย เรื่องนี้ศาสตราจารย์คริสโต โชมาคอฟ รายงานไว้ในหนังสือ Bulgarian Yoghurt-Health and Longerity

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อิมโฮเทป

นักประวัติศาสตร์ทางการแพทย์หลายคนยกย่องให้ฮิปโปคราติส แพทย์ชาวกรีกโบราณ (ราว 460-375 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นบิดาแห่งการแพทย์ แต่กว่า 2,000 ปี ก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลก สถาปนิกและนักบวชชาวอียิปต์นามว่า อิมโฮเทป ได้คิดค้นวิธีการรักษาความป่วยไข้มาแล้วหลายสิบอย่าง นับตั้งแต่วัณโรคไปจนถึงอาการปวดฟันและไขข้ออักเสบ
จริงๆ แล้ว เชื่อกันว่าอิมโฮเทปซึ่งมีชีวิตอยู่ในอียิปต์ราว 2650 ปีก่อนคริสต์ศักราช คือแพทย์คนแรกที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ในตำแหน่งขุนนางชั้นสูงในสมัยฟาโรห์โจเซอร์ อิมโฮเทปได้บันทึกโรคภัยไข้เจ็บไว้นับร้อยๆ โรค และมีความเชียวชาญด้านการรักษามากเสียจนผู้คนในยุคหลังยังนับถือเขาดุจเทพเจ้าหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้วหลายพันปี
อิมโฮเทปในฐานะสถาปนิกถวายงานแด่องค์ฟาโหร์ ยังได้ออกแบบและสร้างพีระมิดแห่งแรกของอียิปต์ นั่นคือโครงสร้างรูปทรงขั้นบันไดสูง 200 ฟุต เพื่อเป็นที่ฝังพระศพฟาโรห์โจเซอร์ พีระมิดขั้นบันไดซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลังแรกๆ ที่เคยมีการสร้างขึ้น ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ทางใต้ของกรุงไคโรในปัจจุบัน
แม้ชาติกำเนิดของเขาจะเป็นเพียงสามัญชน แต่อิมโฮเทปก็ได้รับการสถาปนาเป็นนักบวชชั้นสูงแห่งวิหารที่เฮลิโอโพลิส นครหลวงทางศาสนาของอียิปต์ ต่อมาเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเลื่อนชั้นเป็นอัครมหาเสนาบดีหรือที่ปรึกษาผู้มีอำนาจสูงสุดในองค์ฟาโรห์
ตำราทางการแพทย์ของอิมโฮเทปซึ่งเชื่อกันว่าได้รับการเขียนบันทึกลงบนม้วนกระดาษปาปิรัสนั้นอาจถือเป็นความพยายามครั้งแรกๆ ในการแยกแยะกระบวนการรักษาตามแบบแผนทางการแพทย์ออกจากความเชื่ออันงมงาย อีกทั้งผลงานเหล่านี้ก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดและคัดลอกสำเนาสู่คนรุ่นหลังๆ ต่อมาภายหลังการหลังเสียชีวิตของอิมโฮเทป เขาได้บอกวิธีการรักษาโรคต่างๆ หลายร้อยโรค อย่างเช่น ชาวอียิปต์เชื่อว่าบาดแผลสามารถรักษาได้ด้วยน้ำผึ้ง เซเลอวี่หรือขึ้นฉ่ายสามารถช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบและว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการทางผิวหนัง ยาบางขนานได้รักการยืนยันจากนักวิจัยสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงคำแนะนำของเขาในการใช้ต้นอาคาเซียบรรเทาอาการไข้หวัด
ในช่วงหลายศตรวรรษหลังจากเขาเสียชีวิต อิมโฮเทปได้รับการเคารพยกย่องในพลังความสามารถด้านการรักษา และเขาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นเทพเจ้าผู้สถิตในวิหารของชาวอียิปต์อย่างเป็นทางการเมื่อ 525 ปีก่อนคริสต์ศักราช

15 เรื่องจริงเกี่ยวกับญี่ปุ่น


1. ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน คนญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม



2. การให้บริการลูกค้าในญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก หากไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ ก็จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส
ลูกค้าไปจนลับสายตา เพราะถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงาน จะถือว่าเสียมารยาท



3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือ การกระโดดให้รถไฟทับตาย แต่ถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล เพราะถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่ง เพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟ และต้องสูญเสียรายได้ 




4. ห้ามฟังเพลงจากหูฟัง ในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน เพราะทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลง ถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ



5. การซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อน ก็ห้ามซ้อน เพราะตำรวจอาจเรียกได้ เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้ แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก 




6. ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมาจรจัด มีแต่แมวจรจัด ซึ่งก็มีน้อยมากๆ เพราะหมาจรจัด หรือที่ถูกทอดทิ้ง จะถูกเทศบาลจับไปหมด




7. ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย สองวันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม ( หรือทางร้านจะเก็บไว้ให้) เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้วเห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า แขวนตามต้นไม้ เพราะคนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับที่มีคนทำตก เพื่อให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ 




8. ของแฮนด์เมดที่ญี่ปุ่น ราคาแพงมาก คนจะยกย่องและฮือฮามาก ถ้าคุณทำของแฮนด์เมดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด





9. คนท้องจะมีแท็กจากโรงพยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้อง และจะได้บริการให้เป็นพิเศษ เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน



 10. ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น จะไม่มีห้องหมายเลข 4 เพราะถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า ตาย 




11. ร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมาทานในร้าน แม้กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11 



12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี




13. เวลาทิ้งขยะที่เป็นขวดกล่องน้ำหรือนม จะต้องล้างขวดหรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง เพราะหากทิ้งลงไปทั้งอย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น



14. สามารถยืนอ่านหนังสือโป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ ไม่มีใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาด




15. ผู้ชายญี่ปุ่นแทบทุกคน ชอบกันคิ้ว เพราะผู้ชายที่นี่รักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิง ถ้าไปทำผมในร้านเสริมสวย ช่างทำผมจะถามแน่นอน ว่าจะกันคิ้วเพิ่มด้วยมั้ย





ลีเมอร์ 

ลีเมอร์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมตหรือลิง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "Lemuriformes" ลักษณะโดยรวมของลีเมอร์ 
คือ มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับลิง แต่มีส่วนหัวคล้ายหมาจิ้งจอก 
คือ มีจมูกและปากแหลมยาว มีดวงตากลมโต ขนหนาฟู มีหางยาวเป็นพวงเหมือนกระรอก  คำว่า "ลีเมอร์" แปลงมาจากคำว่า "Lemures" ในเทพปกรณัมโรมันหมายถึง "ดวงวิญญาณ, ผี หรือปีศาจ"  

ขนาดโดยทั่วไปโดยเฉลี่ยของลีเมอร์ขนาดเท่าแมว น้ำหนักตัวประมาณ 9 กิโลกรัม โดยที่ชนิดที่มีขนาดเล็กมีรูปร่างใกล้เคียงกับหนู มีการกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะ มาดากัสการ์ทางชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกที่เดียวเท่านั้น เหตุเพราะสันนิษฐานว่า ที่เกาะแห่งนี้ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้สัตว์หลายชนิดมีการวิวัฒนาการเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ และไม่มีสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่คอยคุกคาม โดยอาศัยอยู่ในป่าดิบ บนต้นไม้ใหญ่ หากินในเวลากลางวัน และนอนหลับในเวลากลางคืน 

ลีเมอร์มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง จุดเด่นอีกประการของลีเมอร์ คือ เสียงร้องที่หลากหลายและดังกึกก้องไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาออกหากินในยามพลบค่ำ ซึ่งอาหารของลีเมอร์ได้แก่ ใบไม้,ผลไม้แมลงไข่นก และสัตว์ขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ แตกต่างออกไปตามแต่ละชนิด ด้วยการใช้ขาหน้าที่เสมือนมือในการหยิบฉวย ขุดคุ้ย หยิบจับอาหารได้คล่องแคล่ว

ลีเมอร์ในปัจจุบัน ได้รับการจำแนกแล้วประมาณ 100-103 ชนิดใน 5 วงศ์ (ดูในตาราง) และหลายชนิดและหลายวงศ์ก็ได้สูญพันธุ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ ลีเมอร์หางวงแหวน รัฟด์ลีเมอร์
และ อาย-อาย เป็นต้น