วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อิมโฮเทป

นักประวัติศาสตร์ทางการแพทย์หลายคนยกย่องให้ฮิปโปคราติส แพทย์ชาวกรีกโบราณ (ราว 460-375 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นบิดาแห่งการแพทย์ แต่กว่า 2,000 ปี ก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลก สถาปนิกและนักบวชชาวอียิปต์นามว่า อิมโฮเทป ได้คิดค้นวิธีการรักษาความป่วยไข้มาแล้วหลายสิบอย่าง นับตั้งแต่วัณโรคไปจนถึงอาการปวดฟันและไขข้ออักเสบ
จริงๆ แล้ว เชื่อกันว่าอิมโฮเทปซึ่งมีชีวิตอยู่ในอียิปต์ราว 2650 ปีก่อนคริสต์ศักราช คือแพทย์คนแรกที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ในตำแหน่งขุนนางชั้นสูงในสมัยฟาโรห์โจเซอร์ อิมโฮเทปได้บันทึกโรคภัยไข้เจ็บไว้นับร้อยๆ โรค และมีความเชียวชาญด้านการรักษามากเสียจนผู้คนในยุคหลังยังนับถือเขาดุจเทพเจ้าหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้วหลายพันปี
อิมโฮเทปในฐานะสถาปนิกถวายงานแด่องค์ฟาโหร์ ยังได้ออกแบบและสร้างพีระมิดแห่งแรกของอียิปต์ นั่นคือโครงสร้างรูปทรงขั้นบันไดสูง 200 ฟุต เพื่อเป็นที่ฝังพระศพฟาโรห์โจเซอร์ พีระมิดขั้นบันไดซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลังแรกๆ ที่เคยมีการสร้างขึ้น ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ทางใต้ของกรุงไคโรในปัจจุบัน
แม้ชาติกำเนิดของเขาจะเป็นเพียงสามัญชน แต่อิมโฮเทปก็ได้รับการสถาปนาเป็นนักบวชชั้นสูงแห่งวิหารที่เฮลิโอโพลิส นครหลวงทางศาสนาของอียิปต์ ต่อมาเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเลื่อนชั้นเป็นอัครมหาเสนาบดีหรือที่ปรึกษาผู้มีอำนาจสูงสุดในองค์ฟาโรห์
ตำราทางการแพทย์ของอิมโฮเทปซึ่งเชื่อกันว่าได้รับการเขียนบันทึกลงบนม้วนกระดาษปาปิรัสนั้นอาจถือเป็นความพยายามครั้งแรกๆ ในการแยกแยะกระบวนการรักษาตามแบบแผนทางการแพทย์ออกจากความเชื่ออันงมงาย อีกทั้งผลงานเหล่านี้ก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดและคัดลอกสำเนาสู่คนรุ่นหลังๆ ต่อมาภายหลังการหลังเสียชีวิตของอิมโฮเทป เขาได้บอกวิธีการรักษาโรคต่างๆ หลายร้อยโรค อย่างเช่น ชาวอียิปต์เชื่อว่าบาดแผลสามารถรักษาได้ด้วยน้ำผึ้ง เซเลอวี่หรือขึ้นฉ่ายสามารถช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบและว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการทางผิวหนัง ยาบางขนานได้รักการยืนยันจากนักวิจัยสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงคำแนะนำของเขาในการใช้ต้นอาคาเซียบรรเทาอาการไข้หวัด
ในช่วงหลายศตรวรรษหลังจากเขาเสียชีวิต อิมโฮเทปได้รับการเคารพยกย่องในพลังความสามารถด้านการรักษา และเขาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นเทพเจ้าผู้สถิตในวิหารของชาวอียิปต์อย่างเป็นทางการเมื่อ 525 ปีก่อนคริสต์ศักราช

15 เรื่องจริงเกี่ยวกับญี่ปุ่น


1. ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน คนญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม



2. การให้บริการลูกค้าในญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก หากไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ ก็จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส
ลูกค้าไปจนลับสายตา เพราะถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงาน จะถือว่าเสียมารยาท



3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือ การกระโดดให้รถไฟทับตาย แต่ถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล เพราะถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่ง เพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟ และต้องสูญเสียรายได้ 




4. ห้ามฟังเพลงจากหูฟัง ในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน เพราะทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลง ถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ



5. การซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อน ก็ห้ามซ้อน เพราะตำรวจอาจเรียกได้ เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้ แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก 




6. ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมาจรจัด มีแต่แมวจรจัด ซึ่งก็มีน้อยมากๆ เพราะหมาจรจัด หรือที่ถูกทอดทิ้ง จะถูกเทศบาลจับไปหมด




7. ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย สองวันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม ( หรือทางร้านจะเก็บไว้ให้) เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้วเห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า แขวนตามต้นไม้ เพราะคนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับที่มีคนทำตก เพื่อให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ 




8. ของแฮนด์เมดที่ญี่ปุ่น ราคาแพงมาก คนจะยกย่องและฮือฮามาก ถ้าคุณทำของแฮนด์เมดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด





9. คนท้องจะมีแท็กจากโรงพยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้อง และจะได้บริการให้เป็นพิเศษ เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน



 10. ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น จะไม่มีห้องหมายเลข 4 เพราะถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า ตาย 




11. ร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมาทานในร้าน แม้กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11 



12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี




13. เวลาทิ้งขยะที่เป็นขวดกล่องน้ำหรือนม จะต้องล้างขวดหรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง เพราะหากทิ้งลงไปทั้งอย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น



14. สามารถยืนอ่านหนังสือโป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ ไม่มีใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาด




15. ผู้ชายญี่ปุ่นแทบทุกคน ชอบกันคิ้ว เพราะผู้ชายที่นี่รักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิง ถ้าไปทำผมในร้านเสริมสวย ช่างทำผมจะถามแน่นอน ว่าจะกันคิ้วเพิ่มด้วยมั้ย





ลีเมอร์ 

ลีเมอร์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมตหรือลิง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "Lemuriformes" ลักษณะโดยรวมของลีเมอร์ 
คือ มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับลิง แต่มีส่วนหัวคล้ายหมาจิ้งจอก 
คือ มีจมูกและปากแหลมยาว มีดวงตากลมโต ขนหนาฟู มีหางยาวเป็นพวงเหมือนกระรอก  คำว่า "ลีเมอร์" แปลงมาจากคำว่า "Lemures" ในเทพปกรณัมโรมันหมายถึง "ดวงวิญญาณ, ผี หรือปีศาจ"  

ขนาดโดยทั่วไปโดยเฉลี่ยของลีเมอร์ขนาดเท่าแมว น้ำหนักตัวประมาณ 9 กิโลกรัม โดยที่ชนิดที่มีขนาดเล็กมีรูปร่างใกล้เคียงกับหนู มีการกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะ มาดากัสการ์ทางชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกที่เดียวเท่านั้น เหตุเพราะสันนิษฐานว่า ที่เกาะแห่งนี้ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้สัตว์หลายชนิดมีการวิวัฒนาการเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ และไม่มีสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่คอยคุกคาม โดยอาศัยอยู่ในป่าดิบ บนต้นไม้ใหญ่ หากินในเวลากลางวัน และนอนหลับในเวลากลางคืน 

ลีเมอร์มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง จุดเด่นอีกประการของลีเมอร์ คือ เสียงร้องที่หลากหลายและดังกึกก้องไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาออกหากินในยามพลบค่ำ ซึ่งอาหารของลีเมอร์ได้แก่ ใบไม้,ผลไม้แมลงไข่นก และสัตว์ขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ แตกต่างออกไปตามแต่ละชนิด ด้วยการใช้ขาหน้าที่เสมือนมือในการหยิบฉวย ขุดคุ้ย หยิบจับอาหารได้คล่องแคล่ว

ลีเมอร์ในปัจจุบัน ได้รับการจำแนกแล้วประมาณ 100-103 ชนิดใน 5 วงศ์ (ดูในตาราง) และหลายชนิดและหลายวงศ์ก็ได้สูญพันธุ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ ลีเมอร์หางวงแหวน รัฟด์ลีเมอร์
และ อาย-อาย เป็นต้น