วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


น้ำหอม

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ต้นกำเนิดของ "น้ำหอม" อยู่ที่ประเทศอียิปต์โบราณ แต่ในสมัยนั้นเรียกว่า "เครื่องหอม" จะดีกว่า คงยังไม่ใช่น้ำหอมเสียทีเดียว โดยชาวอียิปต์ใช้เครื่องหอมเหล่านี้ในพิธีบูชาเทพเจ้า วิธีการของพวกเขาก็คือ นำพวกพืชที่มีกลิ่นหอมมาเผาให้เกิดควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
        ต่อมาชาวกรีกได้รับอิทธิพลนำมาประยุกต์ใช้ในการอาบน้ำ กล่าวคือมีการนำน้ำมันและขี้ผึ้งมาทาตัวหลังอาบน้ำเสร็จ นอกจากนี้ในพิธีศพยังมีการใช้เครื่องหอมทาตัวผู้ตาย และนำน้ำหอมส่วนตัวของผู้ตายไปฝังพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของเขาด้วย ชาวโรมันเองก็รับเอาธรรมเนียมการใช้น้ำหอมมาปฏิบัติด้วย มีการพัฒนาส่วนผสมของน้ำหอมแต่ละชนิดเพื่อใช้ในพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีทางศาสนา พิธีฝังศพ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
        วิวัฒนาการด้านการปรับปรุง "น้ำหอม" เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๔ ในยุคเรเนสซองส์วัฒนธรรมการประพรมน้ำหอมถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชนชั้นสูงในราชสำนัก และพวกที่มีฐานะทางสังคม เมื่อวันเวลาผ่านไปมนุษย์มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีมากขึ้น การใช้ "น้ำหอม" ได้แพร่หลายไปสู่สามัญชน อุตสาหกรรมน้ำหอมเกิดขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ ๑๘ และแหล่งกำเนิดก็ไม่ใช่ที่ไหน หากแต่เป็นประเทศฝรั่งเศสที่เรารู้จักเป็นอย่างดีนั่นเอง เมืองกราสซ์ในแคว้นโพรวองซ์ ของฝรั่งเศส ถือเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตน้ำหอมที่ขึ้นชื่อที่สุดในโลก และจวบจนกระทั่งปัจจุบันฝรั่งเศสก็ยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำหอมของโลกอยู่ ตลาดน้ำหอมในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงขึ้น หลาย ๆ ประเทศในยุโรปอย่าง อิตาลี เยอรมนี รวมถึงอเมริกา และออสเตรเลีย ต่างก็พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด แล้วก็มีแบรนด์ดังจากประเทศเหล่านี้จำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค
        โดยส่วนใหญ่แล้วน้ำหอมขวดหนึ่งจะประกอบไปด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ เป็นหลัก แต่ที่สำคัญคือหัวน้ำหอม โดยหัวน้ำหอมนี่เองที่เป็นตัวจำแนกประเภทของน้ำหอม ซึ่งหลัก ๆ แล้วมีอยู่ ๔ ประเภท

        
๑. Perfume จะมีหัวน้ำหอมประมาณ ๒๐ ถึง ๔๐%
        
๒. Eau de Parfum จะมีหัวน้ำหอมประมาณ ๑๐ ถึง ๒๐%
        
๓. Eau de Toilette จะมีหัวน้ำหอมประมาณ ๕ ถึง ๑๐%
        
๔. Eau de Cologne จะมีหัวน้ำหอมประมาณ ๒ ถึง ๓%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น